ก้าวสู่ยุคที่สองของพลังงานชีวภาพของไทย~บทสัมภาษณ์ คุณกฤษฎา กรรมการผู้จัดการบริษัท GGC ของกลุ่มปตท.~

最新記事やイベント情報はメールマガジンで毎日配信中


    ก้าวสู่ยุคที่สองของพลังงานชีวภาพของไทย~บทสัมภาษณ์ คุณกฤษฎา กรรมการผู้จัดการบริษัท GGC ของกลุ่มปตท.~

    公開日 2025.03.08

    ในปีค.ศ. 2022 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยเปิดเผยว่าภาคการเกษตรมีสัดส่วนประมาณ 8.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เรียกได้ว่าภาคเกษตรกรรมซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังสามารถผลิตมันสำปะหลังและอ้อยในปริมาณมาก ทำให้ “พลังงานชีวภาพ” ซึ่งใช้วัตถุดิบเหล่านี้เป็นจุดแข็งสำคัญของอุตสาหกรรมไทย

    ในครั้งนี้เราได้สัมภาษณ์ คุณกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพในกลุ่มปตท. เกี่ยวกับภาพรวมของธุรกิจ อนาคตของพลังงานชีวภาพและผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ รวมถึงโอกาสในการร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่น

    (สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2024 โดยคุณกันตธร CEO ของ Mediator และกองบรรณาธิการ THAIBIZ)

    タイ国営石油PTTグループのPTTグローバルケミカル(PTTGC)の子会社であるバイオ化学製品メーカー、グローバル・グリーン・ケミカルズ(GGC)のクリッサダ・プラサートスコー社長
    คุณกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC)

    目次

    มุ่งสู่การเป็นบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจสีเขียว

    Q. ช่วยเล่าถึงความเป็นมาของบริษัทและธุรกิจหลักที่ทำอยู่

    คุณกฤษฎา: บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGCเริ่มต้นในฐานะ บริษัท ไทยโอลีโอเคมี จำกัด หรือ TOL ก่อนเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชนและเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2560 เป้าหมายหลักของเราคือการเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์สีเขียวที่มุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย
    ธุรกิจของเราสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ

    GGCの製品について
    “ผลิตภัณฑ์ของ GGC” เอกสารโดย: GGC

    BioEnergy: มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 62% ของทั้งหมด (ไตรมาส 3 ปี 2567)  เราเป็นผู้ผลิตเมทิลเอสเทอร์ หรือไบโอดีเซล (B100) ด้วยกำลังผลิต 500,000 ตันต่อปี และเอทานอลจากปาล์มน้ำมันและอ้อยสำหรับผสมในน้ำมันแก๊สโซฮอล

    BioChemical: มีสัดส่วนประมาณ 37% เราเป็นผู้ผลิต Fatty Alcohol รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย สารนี้จะเป็นสารตั้งต้นในการผลิตผลิตภัณฑ์ Home & Personal Care  ปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตถึง 100,000 ตันต่อปี และกว่า 70% ถูกส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป และอื่นๆ นอกจากนี้เรายังผลิต Refined Glycerine ซึ่งใช้ในผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ Specialty Chemicals เช่น FAEO (Fatty Alcohol Ethoxylate) ซึ่งถูกนำไปใช้ในสินค้าอุปโภคบริโภค

    Food Ingredients & Pharmaceutical :มีสัดส่วนประมาณ 1% เช่น สารให้ความหวาน สารประกอบในอาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แบรนด์ “นิวทราลิสท์” เช่น โปรไบโอติกที่ช่วยปรับสมดุลลำไส้ และแอสตาแซนธิน ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องผิวพรรณ  ในอนาคตเราวางแผนที่จะขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Food Ingredients & Pharmaceutical ให้มากขึ้น เพื่อ

    ไบโอไทยพร้อม ยกระดับมูลค่าด้วยเทคโนโลยี

    Q. ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นไบโอฮับในอนาคตหรือไม่

    คุณกฤษฎา: ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในฐานะ Biohub เรามีประสบการณ์และกระบวนการผลิตที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งไม่มีปัญหาเรื่องการตัดไม้ทำลายป่าเหมือนบางประเทศ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของไทยเข้าถึงตลาดยุโรปและอเมริกาได้ง่าย

    อีกทั้ง ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพที่เหนือกว่าหลายประเทศ ซึ่งช่วยให้เรา สามารถพัฒนา ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้ ทว่าต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบตั้งต้น เช่น การผลิตสารตั้งต้นสำหรับเครื่องสำอาง หรือ Specialty Chemicals

    ในมุมมองของ GGC เอง เราเข้าใจตลาดระดับโลกจากการบริหารจัดการปริมาณการผลิตขนาดใหญ่ และการที่เราเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ปตท. สิ่งนี้ช่วยให้ GGC มี ศักยภาพในการบูรณาการ อย่างครบวงจรใน Value Chain ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทแม่ หรือบริษัทในเครือ เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ความร่วมมือนี้ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของเราได้อย่างดี

    ไบโอไทยยังโตได้ ท่ามกลางกระแส EV

    タイ国営石油PTTグループのPTTグローバルケミカル(PTTGC)の子会社であるバイオ化学製品メーカー、グローバル・グリーン・ケミカルズ(GGC)のクリッサダ・プラサートスコー社長02

    Q. กลุ่มมองเห็นโอกาสในธุรกิจด้านไบโออย่างไร มองอนาคตของอุตสาหกรรมนี้อย่างไร

    คุณกฤษฎา: ในกลุ่ม ปตท. เรามุ่งเน้นการพัฒนาไบโอโปรดักส์อย่างจริงจัง โดย GGC ถือว่าเป็น “กรีนแฟลกชิป” ของกลุ่ม เราได้รับมอบหมายในการพัฒนา Bio, Circular, and Sustainability Products ทั้งการวางเป้าหมายเชิงกลยุทธ์และการประสานงานกับบริษัทในเครือ โดยในอีก 1-2 ปีข้างหน้า จะเห็นภาพการบูรณาการอย่างชัดเจนมากขึ้นในกลุ่ม ปตท. ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของเราในฐานะผู้นำด้านไบโอโปรดักส์

    นอกจากนี้เรามองว่า Bioenergy ยังมีศักยภาพที่ดีในการเติบโตอีกมาก ตอนนี้ผมมองว่า Generation 1 เช่น ไบโอดีเซลและเอทานอล จะยังคงมีความต้องการอยู่ เนื่องจากยังสามารถใช้ร่วมกับเชื้อเพลิงฟอสซิลในเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยเฉพาะในกลุ่มรถเชิงพาณิชย์ เช่น รถบรรทุก ซึ่งยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าได้เนื่องจากปัญหาเรื่องต้นทุน

    ทว่าในอนาคตเราจำเป็นต้องมีการพัฒนาไปสู่ เจเนอเรชันที่ 2 เช่น Bio-Jet Fuel ที่สามารถนำไปใช้กับอุตสาหกรรมการบิน หรือ Green Methanol ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเดินเรือ โดยปัจจุบันเราก็เห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดเชื้อเพลิงสำหรับเรือเดินสมุทร (Marine Fuel) ซึ่ง ตัวนี้สำคัญเพราะสามารถนำไปใช้งานได้โดยตรงกับเครื่องยนต์ในปัจจุบัน 

    ผลิตภัณฑ์ไบโอ “ไทยผลิต” กับโอกาสความร่วมมือของญี่ปุ่น

    Q. จุดแข็งเกษตรกรรมของไทย มุมมองของ GGC ในการพัฒนาไบโอโปรดักส์

    คุณกฤษฎา:  จุดแข็งของประเทศไทยในด้านการเกษตร เช่น การมีปาล์มน้ำมัน และอ้อย ช่วยทำให้เรามีวัตถุดิบที่ยั่งยืนและมีคุณภาพสูงสำหรับการผลิตไบโอโปรดักส์ เมื่อรวมกับกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพของ GGC ผมเชื่อว่าเราสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก และตอบสนองความต้องการ ด้านพลังงานและผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ยั่งยืนได้ เราตั้งเป้าหมายให้ผลิตภัณฑ์ของเราเป็น “Product of Thailand” โดยวัตถุดิบทั้งหมดมาจากในประเทศ แต่การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเราคิดว่าญี่ปุ่นสามารถตอบโจทย์ในจุดนี้และสามารถสร้างโอกาสในตลาดโลกร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

    “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์” ไบโอฮับแห่งแรกของไทย

    Q. ช่วยเล่าถึง โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นต้นแบบเศรษฐกิจชีวภาพ และเป็นไบโอฮับแห่งแรกของประเทศไทย

    ナコンサワン・バイオコンプレックス(写真提供:GGC)
    โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (ภาพโดย: GGC)

    คุณกฤษฎา:โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่สอดรับกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ของประเทศไทย โดยมีจุดเด่นสองส่วนหลักๆคือ

    1) มุ่งเน้นการผลิตเอทานอลโดยใช้วัตถุดิบจากอ้อยเป็นหลัก นอกจากนี้ บายโปรดักส์ (By-product) จากกระบวนการผลิต เช่น ชานอ้อย (Bagasse) ยังถูกนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าจากไบโอแมส (Biomass) ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 80 เมกะวัตต์ ไฟฟ้าส่วนหนึ่งถูกใช้ในโรงงานเอทานอลของเราเองและส่วนที่เหลือจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT)

    2) เน้นไปที่การจัดหาทรัพยากรสำคัญ เช่น ไฟฟ้า น้ำ และการจัดการของเสีย รวมถึงการซัพพลายวัตถุดิบให้กับบริษัทลูกในเครือ GC เช่น การผลิตพลาสติกชีวภาพ PLA (Polylactic Acid) โดยโครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการภายในเครือปตท. ที่สร้างความเชื่อม โยงในห่วงโซ่คุณค่าอย่างครบวงจร

    สนับสนุนเกษตรกรไทยสู่การปลูกปาล์มอย่างยั่งยืน

    Q. ช่วยแนะนำโครงการสนับสนุนความยั่งยืนของ GGC

    持続可能なパーム油生産プログラム(SPOPP)(写真提供:GGC)
    โครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (SPOPP) (ภาพโดย: GGC)

    คุณกฤษฎา: GGC ร่วมกับ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย ดำเนินโครงการการผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (Sustainable Palm Oil Production and Procurement: SPOPP) จุดประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเกษตรกรปลูกปาล์มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมการปลูกปาล์มยั่งยืนที่สอดรับกับกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า EU เป้าหมายแรกคือ เรามุ่งเน้นการสนับสนุนเกษตรกรให้รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน สร้างองค์ความรู้ให้เกษตรกร ลดต้นทุนการปลูกเพิ่มผลผลิตก่อน จากนั้นเราสนับสนุนการปรับปรุงกระบวนการปลูกปาล์มให้ได้มาตรฐาน RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน 

    นอกจากนี้ เราทำงานร่วมกับโรงสกัดน้ำมันปาล์มในฐานะตัวกลางที่เชื่อมโยงเกษตรกรกับตลาด ปัจจุบัน GGC รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงสกัดประมาณ 10 แห่ง เพื่อนำไปผลิตเป็น B100 และ Fatty Alcohol สำหรับจำหน่ายในประเทศและส่งออก

    ผสานนวัตกรรมไทย-ญี่ปุ่น ขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG

    Q. GGC มีความสนใจด้านใดเกี่ยวกับบริษัทญี่ปุ่น เช่น เทคโนโลยี นวัตกรรม และในอนาคตจะมีโอกาสร่วมมือกับบริษัทหรือองค์กรญี่ปุ่นหรือไม่

    คุณกฤษฎา: ญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งตรงกับความต้องการของเรา เช่นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโมเดล เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวหรือ Bio-Circular-Green Economy (BCG) รวมถึงด้านความยั่งยืน Bioenergy Bio-chemicals และ High-Value Products เป็นต้น โดยเราสามารถจัดหาวัตถุดิบคุณภาพสูง พร้อมการสนับสนุนจากบริษัทแม่ (PTTGC) ซึ่งมีศูนย์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ทำให้การร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่นสามารถเกิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเทคโนโลยีที่เราให้ความสนใจ เช่น

    1) Bio-energy และ Sustainability Products:เช่น การแปลง CO2 ให้เป็น Green Methanol ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่เรากำลังศึกษาและมองหาโอกาสในการต่อยอดในอุตสาหกรรมการเดินเรือ

    2) ธุรกิจใหม่ของเชื้อเพลิงชีวภาพ: การพัฒนา Bio-jet Fuel จากเอทานอล ซึ่งเราได้เริ่มต้นความร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่นเจ้าหนึ่ง โดยได้ทำ MOU และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Bio-ethylene และ Bio-polymers

    3) การใช้เศษวัสดุจากพืชในระบบ Circular Economy: เรากำลังร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่นในการศึกษาแนวทางการนำวัสดุเหลือใช้ เช่น ทลายปาล์ม และ ต้นปาล์มมาผลิตเป็นถ่านชีวภาพ (Biochar) เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มมูลค่าให้กับของเสียจากกระบวนการผลิต

    4) ตลาด High-Value Products: เช่น เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเรื่องสารตั้งต้น เช่น Nano-zinc และสารสกัดอื่นๆ

    THAIBIZ編集部

    Recommend オススメ記事

    Recent 新着記事

    Ranking ランキング

    TOP

    SHARE